ไวรัสตับอักเสบมฤตยูเงียบ

ไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร
ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus) คือ เชื้อไวรัส ที่ทำให้เกิดการอักเสบของตับ ซึ่งเป็นได้ทั้งตับอักเสบแบบ เฉียบพลันที่สามารถหายเองได้ ไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร และตับอักเสบเรื้อรังที่เกิดการอักเสบภายในเนื้อตับต่อเนื่องเป็นเวลานาน จนทำให้เกิดรอยแผลเป็นในตับ เปลี่ยนเป็น ตับแข็ง และสุดท้ายอาจกลายเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด
จากสถิติทั่วโลกพบว่า ในทุกๆ ปีมีผู้เสียชิวิตด้วยโรคที่เกิด จากไวรัสตับอักเสบ B มากกว่า 500,000 คน ทั้งที่โรคนี้ สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน สำหรับประเทศไทย แม้ว่ากระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้เด็กแรกเกิดทุกคนที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 ต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคไวรัส ตับอักเสบบี แต่กลับพบว่ายังมีผู้ติดเชื้อที่ไม่ทราบว่าตนเอง เป็นพาหะของโรค และเป็นผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังที่ยังไม่ ปรากฎอาการ ซึ่งกลายเป็นกลุ่มคนที่สามารถแพร่เชื้อไปให้ผู้อื่น ต่อไปได้
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีสามารถติดต่อจากคน สู่คนผ่านทางเลือด ของเหลว หรือสารคัดหลั่งจากร่างกาย อาทิ น้ำเชื้อ หรือน้ำเหลือง เป็นต้น ซึ่งสามารถได้รับเชื้อได้โดย วิธีดังต่อไปนี้
- การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เป็นสาเหตุ การติดเชื้อที่พบมากที่สุด
- การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อไวรัส
- การสักตามร่างกาย
- การเจาะหูด้วยอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด อาจปนเปื้อนเชื้อ
- การใช้แปรงสีฟัน หรือมีดโกนหนวดร่วมกัน ก็เป็น สาเหตุการติดเชื้อได้
สำหรับการติดเชื้อจากมารดาไปสู่บุตรพบในช่วง ระยะระหว่างการคลอด บุตรควรได้รับวัคซีนป้องกันไวรัส ตับอักเสบบีทันทีหลังคลอด และทำการฉีดเพิ่มเมื่ออายุครบ 1, 2 และ 6 เดือน และเมื่ออายุครบ 18 เดือน ควรตรวจว่า มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ และตรวจระดับ ภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบบี เพื่อพิจารณาให้วัคซีน ป้องกันเข็มที่ 4 ต่อไป ทั้งนี้มารดาที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี สามารถให้บุตรดื่มนมมารดาได้ตามปกติ
- การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เป็นสาเหตุ การติดเชื้อที่พบมากที่สุด
- การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อไวรัส
- การสักตามร่างกาย
- การเจาะหูด้วยอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด อาจปนเปื้อนเชื้อ
- การใช้แปรงสีฟัน หรือมีดโกนหนวดร่วมกัน ก็เป็น สาเหตุการติดเชื้อได้
สำหรับการติดเชื้อจากมารดาไปสู่บุตรพบในช่วง ระยะระหว่างการคลอด บุตรควรได้รับวัคซีนป้องกันไวรัส ตับอักเสบบีทันทีหลังคลอด และทำการฉีดเพิ่มเมื่ออายุครบ 1, 2 และ 6 เดือน และเมื่ออายุครบ 18 เดือน ควรตรวจว่า มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ และตรวจระดับ ภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบบี เพื่อพิจารณาให้วัคซีน ป้องกันเข็มที่ 4 ต่อไป ทั้งนี้มารดาที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี สามารถให้บุตรดื่มนมมารดาได้ตามปกติ

การรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบี
สำหรับอาการตับอักเสบเฉียบพลันอันเกิดจากเชื้อ ไวรัสตับอักเสบชนิดบี ร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทาน ในการต่อสู้และกำจัดเชื้อจนหายเป็นปกติ คือตับไม่มีการ อักเสบและเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหมดไปจากร่างกายภายในระยะเวลา 6 เดือน ระหว่างการดำเนินของโรคการรักษาทำโดย การประคับประคองอาการ ไม่ว่าจะเป็นอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้ และเบื่ออาหาร สำหรับในผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรัง การให้ยาต้านไวรัส นอกจากเพื่อป้องกันการทำลายเนื้อตับ ที่อาจอักเสบจนเกิดแผลเป็นและเป็นตับแข็งแล้ว ยังสามารถ ป้องกันการเกิดมะเร็งตับได้ เมื่อแพทย์ทราบข้อมูลต่างๆ แล้วจึงจะเริ่มให้ยารักษาประเภทอื่นต่อไป ซึ่งปัจจุบันมี ยารับประทานหลายชนิดที่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสอย่างได้ผล มีผลข้างเคียงต่ำ ได้แก่ Lamivudine, Adefovir, Entecarvir, และ Tenofovir แต่ข้อเสียของยาเหล่านี้คือต้องทานต่อเนื่อง อย่างน้อยมากกว่า 48 สัปดาห์ จนอาจทำให้เกิดภาวะดื้อยา ในผู้ป่วยบางรายได้ ส่วนยาฉีดชนิด Interferon อาจใช้ใน ผู้ป่วยอายุน้อย ไม่มีภาวะตับแข็ง ที่ต้องการกำจัดเชื้อไวรัส ตับอักเสบบีภายในระยะเวลาที่เร็วกว่าการทานยา แต่ปัญหา คือราคาสูงและมีผลข้างเคียง เช่น อาการไข้ ปวดเมื่อย ตามร่างกาย ภาวะเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวต่ำผิดปกติ อาการหงุดหงิด ซึ่งอาจเป็นปัญหาจนผู้ป่วยไม่สามารถทน การรักษาด้วยยาชนิดนี้ได้
การป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี
โรคที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ เริ่มจากการได้รับวัคซีนตั้งแต่วัยเด็ก การใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน เมื่อมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงในวัยรุ่น การหลีกเลี่ยงพฤติกรรม เสี่ยงต่อการได้รับเชื้อ รวมถึงการตรวจติดตามผลเลือดในผู้ที่ ทราบว่าตนเองติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอย่างสม่ำเสมอ และติดตาม การรักษา อย่างต่อเนื่องในผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังก่อนเกิดภาวะ ตับแข็งที่ทำให้ในที่สุดต้องกลายเป็นมะเร็งตับ
ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ เปิดให้บริการ
จันทร์ - ศุกร์ 07.00 - 20.00 น.
เสาร์ 07.00 - 17.00 น.
อาทิตย์ 07.00 - 17.00 น.